หลักการและแนวนโยบายด้านการจัดการความรู้ คณะนิเทศศาสตร์
การจัดการความรู้ (Knowledge Management) คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนงานด้านการบริหารจัดการที่เชื่อมโยงกับภารกิจหลักด้านการเรียนการสอน การวิจัยและพัฒนา เพื่อให้การดำเนินงานของคณะและมหาวิทยาลัยบรรลุเป้าหมายตามพันธกิจอย่างน้อย 4 ประการ
การจัดการความรู้เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารงานเพื่อกำกับติดตามผลลัพธ์ตามพันธกิจ เอกลักษณ์และบริบทของมหาวิทยาลัย โดยจุดมุ่งหมายสำคัญของการจัดการความรู้ เพื่อค้นหาแนวปฏิบัติที่ดีจากความรู้ที่มีอยู่ในตัวบุคคล (Tacit Knowledge) และความรู้ที่เกิดจากการแสวงหารวบรวมจากแหล่งต่างๆ ที่มีอยู่อย่างเป็นรูปธรรม (Explicit Knowledge) แล้วนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน เพื่อให้เป้าลุเป้าหมายการทำงานร่วมกันภายในคณะและมหาวิทยาลัยทำให้เกิด “องค์กรแห่งการเรียนรู้ องค์กรแห่งการแลกเปลี่ยน องค์กรแห่งการทำงานเป็นทีม”
ในการดำเนินงานด้านการจัดการความรู้ ของคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ดำเนินงานโดยคณะกรรมการจัดการความรู้ คณะนิเทศศาสตร์ ตามหลัก PDCA ในการประกันคุณภาพการศึกษา โดยจัดประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้หัวข้อต่างๆ ด้านการเรียนการสอน/การผลิตบัณฑิต และด้านการวิจัย เพื่อให้บุคลากรในคณะได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันอย่างต่อเนื่องและมีชุดความรู้ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการทำงานได้ในแต่ละปีการศึกษา
หัวข้อในการจัด KM ของคณะนิเทศศาสตร์
ด้านการเรียนการสอน/ผลิตบัณฑิต
2559 “แนวทางการจัดการเรียนการสอนและดูแลนักศึกษาเพื่อลดปัญหานักศึกษา Drop out”
2560 การใช้ระบบ e-Learning เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนด้านนิเทศศาสตร์
2561 การสร้างเครื่องมือสำหรับประเมินผู้เรียนเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนด้านนิเทศศาสตร์
2562 การใช้ Hybrid Technology เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนทางนิเทศศาสตร์
2563 เทคนิคการให้คำปรึกษาและจัดการเรียนการสอนสำหรับนักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ยุคดิจิทัล
2564 การพัฒนาแผนและสื่อการสอนแบบ Active Learning สำหรับการสอนด้านนิเทศศาสตร์ กรณีสอนออนไลน์และออนไซต์
ด้านการวิจัย
2559 “สุนทรียสนทนา: การใช้งานสร้างสรรค์ทางนิเทศศาสตร์ เพื่อตำแหน่งทางวิชาการ”
2560 “จริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ สำหรับงานวิจัยทางนิเทศศาสตร์”
2561 การเขียนโครงการวิจัยเพื่อให้ได้รับทุนภายนอก
2562 แนวทางการทำวิจัยเพื่อใช้ประโยชน์ในการพัฒนาชุมชน
2563 ประเด็นแนวโน้มการวิจัย และองค์ความรู้ทางนิเทศศาสตร์
2564 แนวทางการเข้าถึงแหล่งทุนและการเขียนข้อเสนอวิจัยเพื่อขอทุนจากแหล่งทุนภายนอก
2565 แนวทางการจัดทำวารสารวิชาการคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต
2566 สรุปความรู้จากการจัดโครงการ KM ปีการศึกษา 2566 คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต
คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต จัดโครงการแบ่งปันและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ประจำปีการศึกษา 2566 (Knowledge Management: KM) ณ ห้องประชุม KM คณะนิเทศศาสตร์ ชั้น 11 อาคารเกษมนครา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ร่มเกล้า จำนวน 2 เรื่อง คือ
- ด้านการเรียนการสอน/ผลิตบัณฑิต: เรื่อง “การใช้ Generative AI สำหรับการสอนด้านนิเทศศาสตร์” ระหว่างวันที่ 7 ธ.ค.66- 17 ม.ค.67 เวลา 14.00-16.00 น. ณ ห้องประชุม คณะนิเทศศาสตร์ ชั้น 11 อาคารเกษมนครา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ร่มเกล้า
- KM ด้านการวิจัย เรื่อง “การต่อยอดงานวิจัย/งานสร้างสรรค์และประสบการณ์ทำงานสู่การเขียนบทความด้านนิเทศศาสตร์” ระหว่างวันที่ 11 ม.ค.67 – 27 มี.ค. 67 เวลา 14.00-16.00 น. ณ ห้องประชุม คณะนิเทศศาสตร์ ชั้น 11 อาคารเกษมนครา ร่มเกล้า
สรุประเด็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ด้านการเรียนการสอน/ผลิตบัณฑิต: ประเด็น “การใช้ Generative AI สำหรับการสอนด้านนิเทศศาสตร์”
แนวทางการใช้ Generative AI (ChatGPT) ที่เหมาะสมกับลักษณะและบริบทของรายวิชา
- ใช้ AI เป็นเครื่องมือช่วยแต่ไม่ได้ทั้งหมด
- กรณีวิชาทฤษฎี AI ช่วยในเรื่องการค้นข้อมูลที่ใช้ประกอบการเรียนการสอนแต่ก็ต้องระวังเรื่องความถูกต้องของข้อมูล และที่มาของข้อมูล
- กรณีวิชาปฏิบัติหรือใช้ความคิดสร้างสรรค์ AI จะช่วยได้มาก เพราะทำให้ได้ไอเดียใหม่ๆในการใช้ความคิดสร้างสรรค์แต่ต้องระวังเรื่องลิขสิทธิ์ ทรัพย์สินทางปัญญา
- วิชาด้านนิเทศศาสตร์หลายวิชาสามารถใช้ Generative AI มาช่วยได้ แต่ผู้สอนต้องฝึกใช้ให้เชี่ยวชาญเพื่อเห็นข้อดีของการนำมาใช้ และข้อบกพร่องที่อาจจะเกิดจากการใช้
การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ โดยบูรณาการความคิดสร้างสรรค์สู่การปฏิบัติจริง
- การใช้ Generative AI เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยสอนควรระบุให้ชัดและวางแผนการสอนแต่ละหัวข้อใน มอค.ให้ชัดเจน
- ในแผนการเรียนรู้ หรือมคอ. ที่เกี่ยวกับการใช้ AI เพื่อช่วยสอน ควรระบุทั้งในส่วนที่เป็นเนื้อหา และวิธีการเรียนรู้ เช่น เพิ่มเติมหัวข้อการสอนในรายวิชา GEN207 หัวข้อ “ความคิดสร้างสรรค์เพื่อการสื่อสาร” ประกอบด้วย หลักการพื้นฐานเกี่ยวกับการสร้างภาพ AI และการประมวลผลภาพ AI, โมเดลการสร้างภาพ ai ยอดนิยมทั้งแบบใช้งานฟรี และแบบมีค่าใช้จ่าย และขั้นตอนการใช้งานเพื่อสร้างสรรค์ภาพ AI, หลักการออกแบบสำหรับการสร้างภาพ AI โดยให้นักศึกษาฝึกปฏิบัติ เป็นการบูรณาการความคิดสร้างสรรค์สู่การปฏิบัติจริง
- AI ที่ช่วยพัฒนาการเรียนรู้มีหลายตัวอาทิ Chat GPT, Grammarly, Chatbot, Amazon ซึ่งมีแหลายเวอร์ชั่น, Bing Chat
ข้อพึงระวังด้านกฎหมาย-จริยธรรมต่อการใช้ AI เพื่อสร้างสรรค์งานทางนิเทศศาสตร์
- การใช้ AI มีทั้งผลดีผลเสียในกรณีผลเสียทำให้เกิดปัญหาตามมาทั้งระดับบุคคลและสังคมภาพรวม
- ข้อมูลที่ AI นำมาใช้อาจเป็นข้อมูลที่ไม่มีแหล่งที่มาชัดเจน อาจผิดกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์ โดยที่ผู้ใช้งานไม่รู้ตัว
- การใช้ข้อมูลที่ทำโดย AI แม้มนุษย์จะเป็นผู้ป้อนคำสั่งแต่อาจมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภัยคุกคามไซเบอร์ได้ง่าย เช่น การหลอกลวง การให้ข้อมูลลวง ข่าวเท็จ โฆษณาเกินจริง เป็นต้น
- การใช้ AI ทำงานข่าวหรืองานบางอย่างแทนมนุษย์อาจทำให้ขาดความคิดสร้างสรรค์ การคิดวิเคราะห์ ส่งผลให้เกิดงานสร้างสรรค์ที่มีข้อจำกัด
- ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายกำกับดูและและมาตรฐานการใช้ AI สำหรับผู้ใช้สื่อในประเทศรวมถึงสื่อมวลชนที่ชัดเจน
- ในฐานะที่นักศึกษาจะไปประกอบอาชีพสื่อ ควรย้ำว่า สื่อมวลชนควรใช้ AI เป็นเครื่องมือรอง ไม่ใช่เครื่องมือหลัก การออกแบบความคิดสร้างสรรค์ การแสวงหาข้อเท็จจริงเพื่อนำเสนอควรมาจากฝีมือของตนเองเป็นหลัก
- ควรใช้ AI ให้สมดุลและเหมาะสมกับงาน โดยคำนึงถึง จรรยาบรรณวิชาชีพ การไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่พาดพิง ยึดหลักความถูกต้องความน่าเชื่อถือของข้อเท็จจริง
วิธีการกำหนด prompt หรือคำสั่งในการใช้ AI เพื่อทำงานและทำวิจัยทางนิเทศศาสตร์
- ควรสอนนักศึกษาให้คิด วิเคราะห์ แยกแยะข้อมูล เพื่อจะได้รู้วิธีการสร้างข้อมูลจาก AI ด้วย
- การใช้คำสั่ง AI เพื่อทำงานนิเทศศาสตร์ เช่น เขียนบท ออกแบบภาพ-เสียง ต้องมีทักษะในการใช้คำสั่ง จึงต้องให้ฝึกหลายๆ วิธีป้อนคำสั่ง ลองผิดถูกเพื่อให้ได้สิ่งที่เหมาะสมและถูกต้องที่สุด
- การสอนการใช้คำสั่ง AI ควรสอนทั้งแบบพื้นฐานกับการใช้งานง่ายๆ ไม่ซับซ้อนและแบบซับซ้อนด้วย
- การใช้คำสั่ง AI เพื่อช่วยงานวิจัย ต้องให้ความสำคัญกับข้อมูลที่ได้มาด้วย ระวังข้อมูลจากวิกิพีเดียซึ่งอาจไม่ถูกต้องเสมอไป
ปัญหาและแนวทางการแก้ปัญหาที่เกิดจากการใช้ AI ในการเรียนการสอน
- ระวังปัญหาด้านทักษะการใช้ การรู้เท่าทันข้อมูลที่นำมาใช้
- ระวังปัญหาด้านการละเมิดลิขสิทธิ์ หรือทรัพย์สินทางปัญญา
- ควรเน้นย้ำนักศึกษาว่าใช้ AI เพื่อช่วยไม่ใช่ใช้เป็นหลัก เพราะงานนิเทศศาสตร์เป็นงานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์ที่แปลกใหม่ ไม่ซ้ำเดิม
- ควรยกตัวอย่างผลงานทางนิเทศศาสตร์ที่เกิดจาก AI ที่เป็นทั้งข้อดี และผลเสียที่เกิดขึ้น
การวัดผลการเรียนรู้ที่เกิดจากการใช้ AI ในการสอน
- ผู้สอนต้องพึงระวังให้มากว่าผลงานที่นักศึกษานำมาส่งอนุญาตให้ใช้ AI ได้หรือไม่อย่างไร
- กรณีที่ไม่อนุญาตต้องมีวิธีการวัดประเมินผลที่รัดกุม เช่น ใช้สอบปากเปล่า หรือให้นำเสนอที่มาที่ไปของความคิดสร้างสรรค์ หรือผลงานที่มอบหมายให้นักศึกษาทำ
KM ด้านการวิจัย เรื่อง “การต่อยอดงานวิจัย/งานสร้างสรรค์ และประสบการณ์ทำงานสู่การเขียนบทความด้าน นิเทศศาสตร์”
ความแตกต่างระหว่างบทความวิจัยกับบทความวิชาการ
การเริ่มต้นการเขียนบทความวิชาการให้นิยามของบทความวิชาการว่ามีความคล้าย Baby research อยู่ในนั้น ซึ่งบทความวิชาการเสมือนการแสดงความคิดเห็นในเชิงวิชาการในเรื่องนั้น ๆ บทความวิชาการจะอธิบาย/วิเคราะห์อะไรบางอย่าง โดยเน้นทางวิชาการ กว่าจะมาถึง นำความรู้/ทักษะที่ตกผลึก (ถอดประสบการณ์) และมีสมมติฐานทางวิชาการด้วยเนื่องจากเป็นงานวิชาการที่ต้องอาศัยหลักการอนุมานเชิงวิชาการหรือการอนุมานที่ได้จากการค้นคว้างานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ส่วนการเขียนบทความวิจัยจะมีประเด็นในการเขียนค่อนข้างชัดเจนเหมือนการเขียนให้เห็นกระบวนการวิจัยและผลการวิจัย เช่น ชื่อเรื่องวิจัย นิยมใช้ชื่อเรื่องวิจัยหรืออาจปรับเล็กน้อยให้มีคำสละสลวยในเชิงบทความ ที่มาของการทำวิจัย วัตถุประสงค์ สมมติฐาน (ถ้ามี) นิยามศัพท์ ประโยชน์งานวิจัย แนวคิด ทฤษฎี เรียบเรียบเฉพาะแก่นที่สำคัญที่นำมาใช้ในงานวิจัยและนำมาอภิปรายผล วิธีการวิจัย เขียนให้ครบตามระเบียบวิธีวิจัยที่ทำ และผลการวิจัย อภิปราย ข้อเสนอแนะ
การถอดความรู้จากการปฏิบัติงานสู่งานวิชาการ (งานวิจัย เอกสารประกอบการสอน บทความเผยแพร่) :
การถอดความรู้จากการปฏิบัติสู่งานวิชาการนั้น นอกจากเป็นการบริการวิชาการแล้ว ยังเป็นงานสร้างสรรค์ ตลอดจนเป็นการ Practice Led Research (การปฏิบัติถอดความรู้สู่งานวิจัย ลักษณะงานสร้างสรรค์
แบบที่ 1 งานสร้างสรรค์เป็นลักษณะอธิบายกระบวนการสร้างสรรค์งาน เช่น การออกแบบโลโก้ เครื่องแต่งการ การแต่งหน้า ออกแบบชุดการแสดง ตัวอย่างงานสร้างสรรค์ 1) การออกแบบเครื่องประดับสำหรับสตรีแรงบันดาลใจจากปลากัดไทย ภายใต้แบรนด์ “ตรีครีบ” 2) การออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์เพื่อการท่องเที่ยวชุมชนตำบลบ่อปลาทอง อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา 3) การสร้างสรรค์นาฏยศิลป์ไทยร่วมสมัย เจ้าชู้ยักษ์
แบบที่ 2 งานสร้างสรรค์เป็นลักษณะที่สร้างความรู้ใหม่ (ทดลอง) ตัวอย่างงานสร้างสรรค์ 1) การสร้างสรรค์จิตรกรรมวัสดุผสมแรงบันดาลใจจากท้องทะเล 2) การออกแบบเครื่องเรือนจากเส้นพลาสติก โดยการประยุกต์ใช้ลวดลายหัตถกรรมจักสานพื้นบ้านอีสาน นอกจากนั้นยังมีงานสร้างสรรค์ลักษณะทางศิลปะ เช่น การใช้สีผสมกับดิน เพื่อสื่อความหมายถึงความแห้งแล้ง เป็นต้น แบบที่ 3 งานสร้างสรรค์เป็นลักษณะของการแสดง ตัวอย่างงานสร้างสรรค์ เดอะ รัดแกรนด์ คาบาเรต์ : การสร้างสรรค์ละครเวทีเพื่อสะท้อนการลดทอนคุณค่าของความแตกต่างทางเพศ
โดยสรุปการเขียนบทความวิชาการที่ได้จากการทำงาน เขียนได้จาก ความรู้/ทักษะที่ตกผลึก หรือถอดประสบการณ์จากการทำงาน มีเนื้อหาประกอบด้วย Data, Evidence, Argument ใช้แนวทาง Practice Led Research
แนวทางการเขียนบทความวิชาการจากประสบการณ์การสอนประสบการร์การทำงาน (วิจัย บริการวิชาการ ศิลปวัฒนธรรม) :
- ใช้เทคนิคการคิดหัวข้อบทความวิชาการ คือ จากความสนใจ จากการเตรียมสอน จากการทำวิจัยมาก่อนหน้านี้ หรืองานวิจัยที่ทำเพื่อจบการศึกษา หรือเขียนจากประสบการณ์การทำโครงการบริการวิชาการ การผลิตงานสร้างสรรค์ทางนิเทศศาสตร์ หรือจากโจทย์-ประเด็นของวารสารที่กำหนดให้ เป็นต้น
- วางกรอบการเขียน โดยใช้หลัก K – Knowledge / O- Objective/ A – Area / T-Time สร้างโครงร่างบทความ(Framework) ออกมาให้ได้ก่อน ตัวอย่างบทความ
โดยมีตัวอย่างนำเสนอดังนี้
- บทความเรื่อง “การถ่ายทำภาพยนตร์โฆษณาด้วยเทคนิค Bullet Time Shot กรณีศึกษาผ้าอนามัยแบบกางเกง” K คือ ภาพยนตร์โฆษณา / O คือ การถ่ายทำด้วยเทคนิค BTS / A คือ กรณีศึกษาผ้าอนามัยแบบกางเกง / T ยังไม่ปรากฏ
- บทความเรื่อง “การปรับเปลี่ยนของโมเดลลิ่งไทยในยุคดิจิทัล” K คือ โมเดลลิ่ง / O คือ การปรับเปลี่ยน / A คือ ไทย และ T คือ ยุคดิจิทัล
- บทความเรื่อง “แนวทางการสื่อสารการท่องเที่ยวผ่านเพจเรือนไทยบางแม่หม้ายโฮมสเตย์ในสถานการณ์โควิด-19” K คือ การท่องเที่ยว / O คือ (แนวทาง) การสื่อสาร / A คือ เพจเรือนไทยบางแม่หม้ายโฮมสเตย์ / T คือ โควิด-19
- บทความเรื่อง “การขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยด้วยซีรีส์วายในอุตสาหกรรมบันเทิง” K คือ ซีรีส์วาย / O คือ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย / A คือ ในอุตสาหกรรมบันเทิง (ไทย) / T ไม่ปรากฏ
- บทความเรื่อง “จากสะพานอุตตามนุสรณ์ถึงสะพานไม้ไผ่ลูกบวบ :ภาพสะท้อนวิถีชีวิตชุมชนไทย-มอญ สองฝั่งแม่น้ำซองกาเลียที่เปลี่ยนแปลง” เพื่อให้เห็นกรอบการเขียนบทความที่ชัดเจนสามารถวางกรอบการเขียนบทความ ได้คือ K คือ วิถีชีวิตชุมชนไทย – มอญ / O คือภาพสะท้อน (ที่เปลี่ยนแปลง) / A คือ สองฝั่งแม่น้ำซองกาเลีย และ T คือ จากสะพานอุตตามนุสรณ์ ถึงสะพานไม้ไผ่ลูกบวบ เป็นต้น
- บทความวิชาการเรื่อง ภาพสะท้อนทางสังคมลาวจากอดีตสู่อนาคต: ศึกษาผ่านสถานภาพโรงภาพยนตร์ในนครหลวงเวียงจันทน์ K คือ สถานภาพโรงภาพยนตร์ / O คือ ภาพสะท้อนทางสังคม/ A คือ นครหลวเวียงจันทน์ / T คือ อดีต – อนาคต
- บทความวิชาการ เรื่อง ความร่วมสมัยที่ปรากฏในการแสดงชั้นสูง “โขนศาลาเฉลิมกรุง” K คือ โขนศาลาเฉลิมกรุง (การแสดงชั้นสูง)/ O คือ ความร่วมสมัยที่ปรากฏ / A คือ ศาลาเฉลิมกรุง/ T ไม่ปรากกฏ
- บทความวิชาการเรื่อง ฮูปเงาร่วมทุนไทย-ลาว “สบายดีหลวงพระบาง” : สื่อล่าอาณานิคมด้วยวัฒนธรรมยุคโลกาภิวัตน์ K คือ ฮูปเงาร่วมทุนไทย-ลาว “สบายดีหลวงพระบาง” / O คือ สื่อล่าอาณานิคมด้วยวัฒนธรรม / A คือ ไทย-ลาว/ T คือ ยุคโลกาภิวัตน์
การเขียนอ้างอิงและบรรณานุกรมตามหลัก APA7th
หลักสำคัญของการเขียนบทความวิจัยและบทความวิชาการต้องให้ความสำคัญกับส่วนสุดท้ายที่จะเขียนคือการอ้างอิง และเขียนบรรณานุกรมตามมาตรฐานทางวิชาการ ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละวารสารจะเลือกใช้มาตรฐานการอ้างอิงแบบใด ส่วนใหญ่ที่พบคืออ APA7th แนวทางคือ ถ้านำข้อมูลมาจากแหล่งข้อมูลใดไม่ว่าจะเป็นเอกสาร สิ่งพิมพ์ หรือเอกสาร ข้อเขียนออนไลน์ ต้องน่าเชื่อถือมีแหล่งที่มาชัดเจน เป็นของหน่วยงานสถาบันที่เป็นที่ยอมรับ และการนำข้อมูลมาประกอบการเขียนต้องระมัดระวังเรื่อง plagiarism ด้วย
ค่าใช้จ่ายในการเผยแพร่บทความ
วารสารส่วนใหญ่จะมีค่าใช้จ่าย ขึ้นอยู่กับแต่ละสถาบัน/หน่วยงานเป็นผู้กำหนดและค่าใช้จ่ายในการเผยแพร่ตีพิมพ์บางสถาบัน/หน่วยงานจะไม่เท่ากันกรณีเป็นคนใน-คนนอกสถาบันนั้นๆ ด้วย ตรงนี้ผู้เขียนต้องหาข้อมูลหรือสอบถามไปยังกองบรรณาธิการแต่ละวารสารและหากจะเบิกต้นสังกัดต้องศึกษาเกณฑ์การเบิกค่าเผยแพร่ตีพิมพ์วารสารแต่ละเกณฑ์ให้เข้าใจ
การส่งบทความเพื่อเผยแพร่ตีพิมพ์ ต้องอยู่ในช่วงเวลาที่วารสารฯ นั้นๆ กำหนด
การลงวารสารบางฉบับต้องต่อคิวยาวนาน หรือบางฉบับประกาศรับบทความและมีช่วงเวลาให้เขียนค่อนข้างนาน ดังนั้นการส่งบทความเพื่อเผยแพร่ตีพิมพ์ในแต่ละวารสารต้องตรวจสอบเรื่องห้วงเวลาที่กำหนดด้วย และการเขียนบทความเกือบทุกวารสารจะให้ส่งผ่านระบบการจัดการวารสารออนไลน์ (Thai Journals Online System :ThaiJo) ขณะที่ผู้เขียนอยู่ในขั้นตอนของการส่งบทความและติดตามความคืบหน้า ต้องเข้าทำในระบบนั้นๆ โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับความคืบหน้าบทความของตนเอง ซึ่งจะต้องอยู่ในกระทู้เดิม เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการสื่อสารกับผู้ประสานงานวารสารฯ
——————————————————–